มาถึงตอนที่ 2 แล้วนะคะกับ "เมื่อฉัน ... ตกหลุมรักเกาะหมาก"
สำรับเพื่อน ๆ ที่ยังไม่ได้อ่านตอนที่ 1 ตามไปอ่านได้เลยจ้า >> เมื่อฉัน ... ตกหลุมรักเกาะหมาก ep.1
หลังจากที่เมื่อคืนเรานอนหลับพักผ่อนได้แรงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช้านี้เราก็จะต้องเตรียมตัวเดินทางไปทำภารกิจที่เกาะหมากอันอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วล่ะค่ะ แต่ก่อนไป ขอรองท้องเบา ๆ ด้วยข้าวต้มและขนมปังที่่ทางโรงแรมเค้าจัดเตรียมไว้ให้ก่อนนะคะ ไม่งั้นวันนี้ไม่มีแรงเที่ยวแน่ ๆ เลยค่า ^_^
กินข้าวเสร็จ ก็จัดแจงไปเช็คเอ้าท์ และเก็บกระเป๋าสัมภาระขึ้นรถนะคะ ซึ่งจากโรงแรมที่เราพัก ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที ก็จะถึงท่าเรือไปเกาะหมากแล้วล่ะค่ะ
การเดินทางจากตราด ไปเกาะหมาก เราจะไปขึ้นเรือกันที่แหลมงอบนะคะ ซึ่งที่นี่จะมีเรือเร็วให้บริการอยู่ 3 เจ้าด้วยกัน ก็คือ เรือลีลาวดี เรือปาหนัน และเรือสวนสุข โดยแต่ละเจ้าก็จะมีเวลาออกเรือและท่าเรือที่ไปจอดแตกต่างกันตามฤดูกาล เพื่อนๆ สามารถดูรายละเอียดต่างๆ ได้ >> ที่นี่ << ส่วนค่าเรือ ไป-กลับสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป จะ 900 บาทเท่ากันทุกเจ้าเลยค่ะ
ด้วยความที่วันนี้เนี่ยพวกเราจะไปพักกันที่มากะธานีรีสอร์ท เพราะงั้นพวกเราก็เลยขึ้นเรือเร็วลีลาวดี เพราะเรือเร็วของบริษัทนี้เนี่ยจะไปจอดที่ท่าเรือมากะธานีโดยตรงเลยนะคะ ^_^
และหลังจากนั่งเรือเป็นเวลาประมาณชั่วโมงนึง เราก็จะมาถึงท่าเรือของมากะธานีรีสอร์ท บนเกาะหมากแล้วล่ะค่า อยากบอกว่าตอนนี้พิมอ่ะตื่นเต้นมากๆ คือด้วยความที่ไม่ค่อยได้มาทะเลนะคะ พอมาแล้วเจอน้ำทะเลใส ๆ สีเขียว ๆ ฟ้า ๆ ปิ๊ง ๆ พิมเลยอดตื่นเต้นไม่ได้อ่ะค่ะ ^_^
พอมาถึงเกาะหมากแล้ว หลังจากเก็บข้าวเก็บของเข้าห้องพักเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาลุยล่ะค่า
จุดหมายแรกของเราในวันนี้ก็คือร้าน "เกาะหมากซีฟู้ด" นะคะ หลายคนอาจจะงง เอ๊ะ !! เมื่อกี้ก่อนออกจากโรงแรมที่ฝั่งก็เพิ่งกินข้าวเช้าไปไม่ใช่เร๊อะ แล้วนี่พอข้ามมาถึงเกาะ จะกินข้าวอีกแล้วเร๊อะ .... แห๊ะๆ จะว่าไป มันก็ไม่เชิงหรอกค่า เพราะจริง ๆ แล้วที่มาร้านนี้ เราจะมาดูแอบดูแม่ครัวมือเอกของที่นี่ เค้าทำเมนูซิกเนเจอร์ของทางร้าน นั่นก็คือเมนู "เกาะหมาก hot pot" กันนะคะ
"เกาะหมาก hot pot" เป็นเมนูที่เรียกได้ว่าใครมาเกาะหมากซีฟู้ดก็ต้องสั่งมาทานนะคะ เพราะมันอร่อยมากกกกกก ที่สำคัญพี่เอกกับพี่เรืองเจ้าของร้านเล่าให้พวกเราฟังว่า .... วัตถุดิบที่ใช้ทำเมนูนี้เนี่ย ส่วนใหญ่ได้มาจากทะเลบริเวณรอบเกาะหมาก และได้มาจากสวนผักหลังร้านที่พี่เรืองเป็นคนปลูกเองกับมือเลยอ่ะค่ะ (สมกับคำว่า Low Carbon @ Koh Mak จริง ๆ ค่า)
พี่เอกเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเนี่ยตอนที่ยังไม่ได้ปลูกผักเอง ต้นทุนค่าวัตถุดิบที่นำมาใช้ทำอาหารในร้าน โดยเฉพาะต้นทุนค่าผักนี่สูงมาก ไหนจะค่ารถ ค่าเรือ แล้วแถมซื้อผักมาสัก 10 โล จะใช้ได้แค่ 3 โล ส่วนที่ใช้ไม่ได้ก็จะเป็นผักแก่ ผักเน่า ผักเสียบ้าง >_< พี่เอกกับพี่เรืองก็เลยใช้เวลาว่างที่เหลือจากการเปิดร้านมาลองปลูกผักเอง แรก ๆ ก็ปลูกนิด ๆ หน่อย ๆ ได้แค่พอกินพอใช้ในร้าน แต่ปลูกไปปลูกมา ปรากฎว่าเจริญงอกงามดี เพราะพี่เรืองปลูกแบบใส่ใจ ไม่ใช่สารเคมีใด ๆ ทำให้นอกจากจะพอใช้ในร้านแล้ว ก็ยังมีพอขายให้คนในเกาะได้มาซื้อไปกินอีกด้วยอ่ะค่ะ ^_^
ว่าแล้วไม่พูดพล่ามทำเพลง หลังจากเม้าท์มอยกันไปได้สักแป๊บ พี่เรืองก็ชวนพวกเราเข้าครัว เพื่อไปลงมือทำเมนู เกาะหมาก hotpot ให้ได้ชมกันค่า
"เกาะหมาก hotpot" หรือ "ไข่ตุ๋นทะเล" พิมเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยทำหรือเคยได้ยินชื่อกันมาก่อนแล้ว พิมเองก็เคยได้ยินและเคยกินด้วยนะคะ แต่อยากจะบอกว่าจากที่เคยกินมานับเป็นสิบที่ ไข่ตุ๋นทะเลร้านพี่เรืองอร่อยที่สุดดดดเลยอ่ะค่ะ ^_^ ซึ่งพี่เรืองก็บอกว่าวิธีการทำนั้นไม่มีอะไรยากเลยยย แค่เราทำไข่ตุ๋นใส่ไว้ในหม้อไฟก่อน เสร็จแล้วก็ทำต้มยำทะเลราดลงไปในหม้อไฟนะคะ จากนั้นปิดฝาหม้อ แล้วใส่ถ่านที่ติดไฟแล้วลงไปตรงกลางหม้อไฟ ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยพร้อมเสริฟล่ะค่า
จากเมนูไข่ตุ๋นทะเล พี่เรืองก็สาธิตทำอีกเมนู คือ กุ้งผัดพริกขี้หนู ให้เราได้ชมกันนะคะ เมนูนี้ว่าไปแล้วเหมือนจะง่ายนะคะ แต่พี่เรืองมีเทคนิคนึงที่ทำให้กุ้งสุกเด้งหวานกรอบกำลังดี ก็คือการนำเอากุ้งไปฉ่าในน้ำมัน + น้ำซุปก่อน ให้กุ้งเกือบ ๆ สุกก่อน จึงค่อยใส่เครื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพริกขี้หนูสวนโขลกสด ๆ กระเทียมสับ พริกชี้ฟ้าหั่น ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน กระชายซอย และเครื่องปรุงต่างๆ ตามลงไป ผัดให้เข้ากันอย่างรวดเร็วไม่เกิน 30 วินาที ก็ปิดไฟเตา ตักใส่จานได้เลยค่า
และอาหารมื้อกลางวันของเราที่ร้าน "เกาะหมากซีฟู้ด" ก็พร้อมทานล่ะค่า ^_^
ขอบอกว่าทุกอย่างรสชาติดีงามมาก คือ รสอาจจะไม่ได้เริ่ดหรูเหมือนตามภัตตาคาร ร้านอาหารดัง ๆ ในกรุงเทพฯ หรือตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่เป็นรสชาติเหมือนที่ชาวบ้านเค้าทำทานกัน เป็นรสชาติที่กลมกล่อม ที่สำคัญด้วยความที่วัตถุดิบ ไมว่าจะกุ้ง หมึก และผักต่างๆ นั้นสดมากก อาหารของที่นี่จึงมีความ unique เป็นพิเศษกว่าที่เกาะอื่นๆ อ่ะค่ะ ^_^
และที่สำคัญอีกเรื่องนึงคือ เมื่อวัตถุดิบต่างๆ สามารถหาได้จากบนเกาะและรอบเกาะ จึงลดกระบวนการในการขนส่งจากฝั่งมาเกาะ ลดการใช้น้ำมันที่ก่อให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ ส่งผลให้ปริมาณ Carbon ในอากาศลดน้อยลง เลยทำให้อาหารมื่้อนี้ของเราเป็นการช่วยโลกให้น่าอยู่มากขึ้นอีกทางนึงด้วยอ่ะค่ะ ^_^
จบจากมื้ออร่อยแล้ว พี่เอกเจ้าของร้าน (แฟนพี่เรืองนั่นเอง) ก็พาพวกเราเดินไปชมพิพิธภัณฑ์เกาะหมากที่อยู่ข้างๆ กับเกาะหมากซีฟู้ดอ่ะค่ะ ซึ่งระหว่างทางพวกเราก็แอบเห็นว่าที่นี่เนี่ย เค้ามีการสร้างแผงโซล่าเซลล์ เพื่อสะสมพลังงานจากแสงอาทิตย์ในช่วงแดดเปรี้ยง ๆ ไว้แปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในครัวเรือนตอนกลางคืนด้วยนะคะ โดยพลังงานพวกนี้เนี่ยจะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ ที่พี่เอก (และชาวบ้านอีกหลาย ๆ บ้าน) ดัดแปลงมาจากแบตเตอรี่รถยนต์เก่าอีกทีอ่ะค่ะ พิมเลยถามพี่เอกว่าแล้วอย่างนี้เราเอาไปใช้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าอะไรได้บ้างคะ พี่เอกก็ตอบกลับมาว่า ถ้าแบตเล็ก 1 ก้อน ก็พอใช้สำหรับหลอดไฟหนึ่งดวงที่เปิดตลอดทั้งคืนเลยค่ะ หู้ววว....ว อย่างนี้เนี่ยก็ดีเลยนะคะ เพราะทั้งประหยัดไฟ ช่วยลด carbon ให้โลกเรา แล้วยังประหยัดเงินในกระเป๋าเราอีกด้วยอ่ะค่ะ (อันหลังนี่สำคัญมาก ฮ่ะๆ) ^_^
จากจุดเรียนรุ้เรื่องโซลาเซลล์ที่อยู่บริเวณหน้าร้านเกาะหมากซีฟู้ดแล้ว พี่เอกก็พาเราไปยังบ้านไม้หลังย่อมๆ อายุเกือบ 100 ปี ที่อยู่ด้านข้างร้าน ซึ่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์เกาะหมากนะคะ โดยที่นี่เนี่ยจะเป็นจุดที่บอกว่าคนบนเกาะหมากมีที่มาที่ไปยังไงในตลอดช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมาอ่ะค่ะ
แต่เดิมคนเกาะหมากจะอาศัยอยู่ที่แถวๆ เกาะกง ซึ่งสมัยโน้นนนนน เกาะกงยังเป็นของประเทศไทยอยู่นะคะ แต่ว่าในช่วงนึงมีปัญหากระทบกระทั่งกัน ไทยต้องเสียพื้นที่บางส่วนรวมถึงเกาะกงให้กับฝรั่งเศส เพื่อแลกเอาจันทบุรีกับตราดคืนมา คนไทยจากเกาะกงก็เลยต้องย้ายมาตั้งรกรากกันที่เกาะหมากแทนอ่ะค่ะ ซึ่งสมัยนั้นก็จะมากัน 5 ตระกูลนะคะ เป็นเหล่าเครือญาติกัน และต้นตระกูลของพี่เอกก็เป็นหนึ่งใน 5 ตระกูลที่ย้ายมาด้วยอ่ะค่ะ
ภายในพิพิธภัณฑ์เกาะหมาก พี่เอกก็ได้รวบรวมเอาข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ เท่าที่จะหาได้ ตั้งแต่สมัยตระกูลพี่เอกเริ่มย้ายมาอยู่บนเกาะหมาก มาเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นตู้ เตียง โต๊ะ ทีวี วิทยุ จักรเย็บผ้า โทรศัพท์ หม้อ ไห จาน ชาม เตา โต๊ะหนังสือ ชั้นวางของ และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อให้คนที่สนใจได้เข้ามาชม เข้ามาหาความรู้ และรำลึกถึงกันนะคะ
จากพิพิธภัณฑ์เกาะหมาก .... เราจะเปลี่ยนบรรยากาศไปทำอะไรที่เร้าใจกันบ้างดีกว่า เช่น การเล่น Disc Gold อ่ะค่ะ ^_^
พูดถึงกีฬา Golf พิมคิดว่าแทบทุกคนคงรู้จักกันใช่ไหมคะ แต่ถ้าพูดถึงกีฬา Dish Golf พิมเชื่อว่าหลายคนน่าจะส่ายหน้า แล้วถามกลับมาว่า "มันคืออะไรอ่ะ"
Disc Golf เป็นกีฬาที่มีวิธีการเล่น กฎกติกามารยาทต่างๆ เหมือนกับการเล่น Golf เลยค่ะ เพียงแต่จะต่างกันตรงที่ Disc Golf จะใช้การขว้างจานร่อน (อารมณ์เหมือนจานที่เราร่อนกันสมัยเด็กๆ) แทนการใช้ไม้ตีลูก และใช้ตะกร้าเหล็กตั้งบนแท่นแทนหลุมกอล์ฟทั่ว ๆ ไปนะคะ ซึ่งจานร่อนที่ใช้ขว้างเนี่ยก็จะมีหลายแบบให้เลือกใช้ตามระยะการขว้างตามลักษณะการกว้างที่เหมาะสมอ่ะค่ะ โดยเจ้ากีฬาอันนี้เนี่ยเริ่มมีขึ้นครั้งแรกที่อเมริกานะคะ และต่อมาก็ไปแพร่หลายที่ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ส่วนที่ไทย พิมเห็นมีหลัก ๆ ก็ที่สมุยและเกาะหมากนี่แหละค่ะ
พูดถึง Disc Golf ที่เกาะหมาก หลายคนคงสงสัยว่าเกิดขึ้นได้ยังไง ใครเป็นคนนำเข้ามา และจุดประสงค์นำเข้ามาเพื่ออะไรนะคะ ... ทั้งหมดทั้งมวลก็ต้องยกความดีให้พี่ป๋อม แห่ง Holiday Beach Resort เกาะหมากเลยค่ะ เพราะพี่ป๋อมเนี่ยเคยได้ไปเล่นกีฬาอันนี้ที่ต่างประเทศ (ถ้าพิมจำไม่ผิดคือเยอระมันนะคะ) แล้วพี่ป๋อมก็เห็นว่า น่าเอากลับมาเล่นที่เมืองไทยนะ โดยเฉพาะที่เกาะหมากซึ่งเป็นบ้านของพี่ป๋อม ทั้งให้คนบนเกาะหมากได้เล่น และก็ให้นักท่องเที่ยวได้เล่นกันด้วยอ่ะค่ะ
โดยอัตราค่าใช้บริการสนาม Disc Golf เนี่ย พี่ป๋อมคิดค่าบริการแค่วันละ 300 บาทเท่านั้นนะคะ (มาตอนไหนก็ 300 บาท) และถ้าใครไม่มีอุปกรณ์คือจานร่อนมาด้วยเนี่ย พี่ป๋อมเค้าก็จะมีให้ด้วยอ่ะค่ะ และในช่วงโมงพิเศษสุด ๆ ช่วง Happy Hours 14.00 - 16.00 น. ในแต่ละวัน (ยกเว้นวันหยุด) ถ้าใครมาเริ่มเล่นในช่วงนี้ พี่ป๋อมเค้าก็จะคิดค่าบริการเหลือแค่ 150 บาทเท่านั้นเอง เพื่อเป็นรางวัลให้กับนักท่องเที่ยวที่ช่วยลดโลกร้อนด้วยการไม่นอนเปิดแอร์ในห้องช่วงเวลานี้ แต่กลับพากันออกมาทำกิจกรรมในเกาะหมากแทนนะคะ ^^
ติดตามรายละเอียดกิจกรรม Low Carbon ที่น่าสนใจบนเกาะหมาก ได้ >> ที่นี่ << นะคะ
จะว่าไปพิมก็แอบขำตัวเองเบา ๆ นะคะ เพราะตอนที่รู้ว่าจะต้องไปเล่น Disc Golf เนี่ย ก็แอบคิดในใจว่า มันกีฬาอะไรเนี่ย น่าสนใจขนาดไหนถึงต้องไปเล่น เล่นแล้วจะเบื่อง่ายไหม เกือบ 2 ชม. ที่กะไว้มันจะนานไปรึเปล่า ...... ปรากฎว่าพอได้เล่นจริง ไม่อยากเลิกเล่นเลยอ่ะ เป็นกีฬาที่เหมือนจะเล่นง่าย อุปกรณ์ไม่เยอะ ไม่ต้องคิดอะไรนะคะ แต่เอาจริงๆ คือต้องคิดเยอะมากค่ะ แล้วก็สนุกมากกก ได้เดิน ได้ออกกำลังขา ได้ออกกำลังแขน ได้คุยกับเพื่อนที่เล่นด้วยกัน ได้มีเสียงหัวเราะเวลาเราตั้งใจโยนไปทางนี้แต่มันดันกลับไปอีกทาง (หัวเราะแก้เขิน) >_< จากที่คิดไว้ว่า 2 ชม. จะนานเกิน เอาจริงมันแป๊บเดียวเลยนะคะ จนแอบคิดในใจว่าถ้ามาเกาะหมากรอบหน้า จะมาเล่น Disc Golf ให้หนำใจไปสักวันสองวันเลยอ่ะค่ะ >_<
จาก Disc Golf กิจกรรมต่อไปที่เราจะไปทำกัน ก็คือ ไปร่วมทำอาหารกับครูเล้ง ครูสอนทำอาหารไทยประจำเกาะหมากนะคะ ซึ่งบ้านของครูเล้งก็จะเป็นบ้านไม้หลังน่ารักๆ อยู่ริมทะเล ติด ๆ กับเกาะหมากซีฟู้ดเลยอ่ะค่ะ ^_^
ตอนที่พิมรู้ว่าจะต้องไปร่วมทำอาหารกับครูเล้งเนี่ย ขอบอกเลยนะคะว่าพิมตื่นเต้นมากกกก.กก..ก คือพิมเป็นคนชอบทำอาหาร แต่ไม่เคยร่วมทำอาหารกับคนที่ยังไม่รู้จักกันเลยอ่ะค่ะ >_< ปรากฎว่าพอเจอตัวจริง ครูเล้งน่ารักมาก ยิ้มเก่ง ใจดี เป็นกันเอง ในขณะที่ก็สนุกสนาน ไม่แปลกใจเลยที่มักจะเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนที่มาเกาะหมาก มาเรียนทำอาหารไทยกับครูเล้งอยู่เป็นประจำเลยอ่ะค่ะ
ครูเล้งเล่าให้เราฟังว่า ปกติแล้วครูเล้งก็เป็นคนกรุงเทพฯ นี่แหละนะคะ แต่พอวันเวลาผ่านไป ครูเล้งก็เริ่มเบื่อกรุงเทพฯ ค่ะ อยากหาที่อยู่ใหม่ที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่าย ก็มาเจอกับเกาะหมากนี่แหละค่ะที่เป็นเกาะไม่ใหญ่นัก และคนบนเกาะมีมิตรไมตรีมาก ไปไหนมาไหนก็คุยก็ทักกันตลอด แถมยังไม่เคยมีปัญหาเรื่องขโมยโขจรเลยสักครั้ง ครูเล้งก็เลยตัดสินใจมาปักหลักใช้ชีวิตใหม่อยู่ที่เกาะหมากนี่เมื่อหลายปีก่อนนะคะ
สำหรับเมนูที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเรียนกับครูเล้งก็มีหลากหลายเมนูค่ะ ไม่ว่าจะเป็นผัดไท ต้มยำ ต้มข่า ปลานึ่งมะนาว แต่เมนูที่น่าสนใจสุด ๆ ก็คงจะหนีไม่พ้น ห่อหมก และก็ยำจ้าวสมุทร ที่เราจะทำกันในวันนี้นะคะ ^_^
สำหรับวัตถุดิบในการทำห่อหมกปลาสากตามแบบฉบับครูเล้ง โดยส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่แตกต่างจากห่อหมกทั่วไปสักเท่าไหร่อ่ะค่ะ แต่ว่าที่แตกต่างมากๆ ก็คือ วัตถุดิบทุกอย่างสดจากหลังบ้านและหน้าบ้านครูเล้งเลยนะคะ
ส่วนยำสมุนเกาะหมาก ยำสูตรเด็ดของครูเล้ง ส่วนผสมหลักก็จะคล้ายยำใส่น้ำพริกเผาทั่วไปอ่ะค่ะ แต่ว่าครูเล้งจะเพิ่มในส่วนของกระเทียมดอง มะเขือเทศ ใบโหระพา และคะไคร้ซอยบางๆ ทอดกรอบลงไปด้วย ซึ่งช่วยเพิ่มความอร่อยให้ยำจานนี้มากๆ เลยอ่ะค่ะ
ดูส่วนผสมกันไปแล้ว ท้องพิมก็เริ่มร้องจ๊อก ๆ ด้วยความหิว T__T เพราะงั้นเรามาลงมือทำกันเลยดีกว่าเน๊าะคะ
เริ่มกันที่เมนูแรก กับห่อหมกปลาสากค่ะ ตอนแรกพิมก็แอบคิดว่าวิธีทำห่อหมกของครูเล้งจะไม่ต่างจากของพิมสักเท่าไหร่ แต่เอาจริงก็ต่างกันพอสมควรเลยนะคะ
วิธีทำห่อหมกของครูเล้งจะเริ่มต้นด้วยการเอาพริกแกงไปคนในกะทิเล็กน้อย จนพริกแกงเนียนไปกับกะทิค่ะ จากนั้นก็ค่อยใส่ทั้งเนื้อปลาสากขูดและเนื้อปลาหั่นชิ้นลงไป ปรุงรสด้วยน้ำปลากับน้ำตาลปี๊บนิดหน่อยกะว่าให้เค็มนำ แต่ไม่ต้องหวานนะคะ เพราะหวานจากกะทิคั้นสด ๆ อยู่แล้ว คนทุกอย่างพอเข้ากัน ก็ตักใส่กระทงใบตองที่รองด้วยใบเล็บครุฑแล้วเอาไปนึ่งได้เลยอ่ะค่ะ
และด้วยความที่ห่อหมกครูเล้งไม่มีส่วนของกะทิมาก มีแต่เนื้อปลาล้วนๆ เลยใช้เวลานึ่งแค่ 10 นาทีเท่านั้น ห่อหมกครูก็พร้อมทานแล้วล่ะค่า
เสร็จจากเมนูห่อหมก เราก็มาทำยำสมุนเกาะหมากกันต่อเลยนะคะ ซึ่งวิธีทำยำอันนี้เนี่ย ขอบอกว่าแม้จะเครื่องเยอะ แต่วิธีทำไม่ได้ยุ่งยากเลยค่ะ ก็คือให้เราเอาเครื่องปรุงรสทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาว น้ำพริกเผา พริกขี้หนูซอย ใส่ลงไปคน ๆ ให้เข้ากันก่อน ชิมรสให้ได้ที่ชอบนะคะ แล้วก็ค่อยใส่เครื่องที่เหลือทุกอย่างลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ตักใส่จาน โรยหน้าด้วยตะไคร้ทอดกรอบ เป็นอันเสร็จเรียบร้อยล่ะค่ะ ^^
และหลังจากที่เราขลุกกันอยู่ในครัวริมทะเลของครูเล้งไม่ถึงชั่วโมง เราก็ได้อาหารอร่อย ๆ ออกมา 2 เมนูนะคะ .... งานนี้ก็ต้องขอบคุณครูเล้งมากๆ ถึงพิมจะเป็นคนชอบทำอาหาร สอนการทำอาหารให้คนอื่น แต่การที่พิมได้มาเรียนทำอาหารกับครูเล้ง ถือได้ว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้พิมอย่างมากเลยอ่ะค่ะ ^_^
และก็ถึงเวลาที่สำคัญที่สุดของการมาทำภารกิจที่บ้านครูเล้ง นั่นก็คือการชิมล่ะค่า ซึ่งหลังจากได้ชิมทุกคนต่างลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ... อร่อยมากกก โดยเฉพาะยำ สมแล้วที่เป็นครุสอนทำอาหารประจำเกาะหมากอ่ะค่ะ
ดูรายละเอียดโรงเรียนสอนทำอาหารของครูเล้ง ได้ >> ที่นี่ << จ้า
จากบ้านครูเล้ง จุดหมายสุดท้ายของพิมในวันนี้ก็คือการไปดูแสงสุดท้ายและกินข้าวเย็นที่ โคโค่เคปรีสอร์ทนะคะ ซึ่งก็อยู่ห่างจากบ้านครูเล้งไม่มากเท่าไหร่อ่ะค่ะ
ที่โคโค่เคปรีสอร์ท นอกจากจะเป็นรีสอร์ทที่อยู่ติดทะเล มีสระว่ายน้ำริมทะเลที่สวยงามแล้ว ก็ยังมีสะพานไม้ที่ทอดยาวลงไปในทะเล ที่น้ำทะเลใสสสสสสสสสสมากเลยนะคะ
เรานั่งชมวิวทะเลไปพลาง ๆ ระหว่างที่รอพระอาทิตย์ตก ซึ่งขอบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่รู้สึดชิวที่สุดของวันนี้เลยอ่ะค่ะ น้ำทะเลใส ๆ อากาศเย็นสบาย ลมพัดอ่อน ๆ มีเพื่อนคุยถูกคอนั่งอยู่ด้วยกันสักคน กับเครื่องดื่มเย็น ๆ สักแก้ว นั่งชมเค้าแล่นเรือใบกันไปมาอยู่หน้าสะพาน ..... ไม่มีอะไรฟินไปมากกว่านี้อีกแล้วนะคะ
และหลังจากนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินไปจนลับตาแล้ว ก็ถึงเวลาปิดจ๊อบของวันนี้แหละค่ะ กับอาหารมื้อค่ำจากโคโค่เคป รีสอร์ท (รู้สึกว่าวัน ๆ นึงจะกินหลายมื้อนะ 555) นะคะ ^_^
.... แล้วใน ep.3 ที่พิมกำลังย่อรูปอยู่นี่ ช่วงเช้าพิมจะพาเพื่อน ๆ ไปช๊อปปิ้งอาหารทะเลสด ๆ ที่อ่าวนิดค่ะ แล้วก็ไปหัดทำผัดไทอร่อย ๆ และดูวิธีการทำ Honey Toast ที่ใช้ผลไม้พืนบ้าน สูตรของร้าน Swiss Cake ที่อยูบนเกาะหมากนะคะ พอช่วงบ่ายก็จะพาไปชมแปลงผักปลอดสารพิษและชิมเบอร์เกอร์สไตล์บ้านที่ร้าน wild heart ไปไหว้พระที่วัดเกาะหมาก และพอเย็นๆ ก็จะพาไปเล่นน้ำทะเล พร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกที่ Pano Resort สุดท้ายก็จะพาไปชิมปลาดิบสด ๆ ฝีมือพี่อึ่ง เจ้าของร้าน Swiss Cake อีกรอบค่า
ยังไงคอยติดตามชมกันนะคะ ..... ^_^
การไปเกาะหมากในครั้งนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าไม่มี องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือที่ใคร ๆ รู้จักกันในนาม อพท. และ สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม .... ขอบคุณจริง ๆ ค่ะที่ทำให้ครัวบ้านพิมได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ขอบคุณทีมงานทุกคนที่ช่วยดูแลพวกเราในครั้งนี้ และขอบคุณคนเกาะหมากทุกคนที่ช่วยกันดูแลและทำให้เกาะหมากเป็นแหล่งท่องเที่ยวแบบ Low Carbon อย่างยั่งยืนนะคะ
สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ดูรายละเอียดได้ >> ที่นี่ << เลยค่ะ
อ่านตอนที่ 1 ได้ที่นี่เลยจ้า >> เมื่อฉัน ... ตกหลุมรักเกาะหมาก ep.1
อ่านตอนที่ 3 ได้ที่นี่เลยจ้า >> เมื่อฉัน ... ตกหลุมรักเกาะหมาก ep.3
อ่านตอนที่ 4 ได้ที่นี่เลยจ้า >> เมื่อฉัน ... ตกหลุมรักเกาะหมาก ep.4